โรคไข้เลือดออก ป่วยในเด็กต้องเฝ้าระวัง

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อโดยมีสาเหตุมาจากยุงลาย Aedes Aegypti ตัวเมียกัด เมื่อยุงกัดคนที่ป่วยโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue Virus) จะเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสเดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง พร้อมที่จะติดต่อไปยังคนอื่น แล้วนำเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเด็ก โรคนี้มักจะระบาดในฤดูฝน แต่ปัจจุบันพบได้ตลอดทั้งปี

เด็กเล็กป่วย โรคไข้เลือดออก ติดเชื้อซ้ำเสี่ยงน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด

หมอโรงพยาบาลเด็กเตือนสังเกตอาการเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปีป่วยไข้เลือดออก นอกจากมีไข้ จุดเลือดออกตามตัว อาจมีอาการไอ-ท้องเสียร่วมด้วย ห่วงติดเชื้อซ้ำอาจเกิดภาวะน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด

เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2566 พญ.ประอร สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา หัวหน้าศูนย์โรคไข้เลือดออก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์ว่า สถานการณ์ไข้เลือดออกในประเทศไทยก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 มีการระบาดแบบปี เว้น 2 ปี โดยในปี 2562 มีผู้ป่วยจำนวนมาก จากนั้นปี 2563-2564 มีผู้ป่วยน้อยลง

ส่วนในปี 2565 มีผู้ป่วยประมาณ 46,000 คน และในปี 2566 กรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าอาจมีการระบาดใหญ่ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นจริง หากเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี 2565 ทั้งจำนวนของคนไข้ที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก

ขณะนี้ช่วยอายุที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกมากที่สุด เป็นช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น อายุระหว่าง 15-24 ปี ตามมาด้วยเด็กโต ช่วงอายุ 10-14 ปี ขณะเดียวกันในช่วงนี้ยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่ต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนอัตราการเสียชีวิตขณะนี้อยู่ที่ 0.08%

สำหรับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี มีเด็กป่วยนอนโรงพยาบาลประมาณสัปดาห์ละ 5-6 คน ยังไม่มาก แต่หากเทียบกับปีที่ผ่านมา จำนวนคนไข้ที่ต้องนอนโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระยะไข้ ยังไม่ได้อยู่ในระยะวิกฤตของไข้เลือดออก

หัวหน้าศูนย์โรคไข้เลือดออก กล่าวอีกว่า กลุ่มเด็ก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปี หากมีไข้เกิน 2 วัน โดยที่ไม่มีอาการของการติดเชื้ออย่างอื่นชัดเจน เช่น ไม่มีไอ ไม่มีน้ำมูก ไม่เป็นโควิด ไม่อาเจียนหรือท้องเสียชัดเจน มีไข้เกิน 2 วันควรมาพบแพทย์ เพราะอย่างน้อยการเจาะเลือดสามารถบอกได้ว่าเป็นการติดเชื้อจากไวรัสหรือแบคทีเรีย

หากเป็นการติดเชื้อจากไวรัส ไข้จะลดลงเองไม่เกิน 3-5 วัน แต่หากเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้รับยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม ไข้ก็จะลดลงภายใน 2 วัน แต่หากอีก 2 วันไข้ไม่ลด แพทย์จะนัดติดตามดูอาการ ซึ่งในเคสที่สงสัยว่ามีโอกาสจะเป็นไข้เลือดออก อาจมีการเจาะเลือดติดตามซ้ำ หรือในบางคนที่มาจากพื้นที่ที่มีการระบาดมากของไข้เลือดออก หรือมีคนในบ้านป่วยเป็นไข้เลือดออกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ควรเฝ้าระวังเพราะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกได้ โดยแพทย์จะเจาะเลือดเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม ในคนไข้กลุ่มเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี หากป่วยเป็นไข้เลือดออก อาจมีอาการไอ ท้องเสีย ร่วมด้วย นอกเหนือจากอาการไข้ ซึ่งสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เคยเก็บรวบรวมข้อมูลทารกอายุน้อยกว่า 1 ปีที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก พบว่า 50% ของคนไข้มาด้วยอาการท้องเสีย

ส่วนผู้ใหญ่ที่มีอาการไข้ ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 และไข้เลือดออก หากมีไข้ 2 วันควรตรวจด้วย ATK เพื่อหาการติดเชื้อของโควิดก่อน หาก ATK ให้ผลลบ ให้สังเกตอาการตัวเอง หากปวดเมื่อยตามตัวมาก ตามตัวมีจุดเลือดออกหรือมีผื่นขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าใช่โรคไข้เลือดออกหรือไม่

โรคไข้เลือดออก

ปัจจัยเสียงที่ทำให้น้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด

พญ.ประอร เปิดเผยว่า ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก หากเป็นในระดับชนิดรุนแรง หมายถึงมีการรั่วของน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด อาจจะไม่ได้เกิดในวันแรกที่มีไข้ แต่จะเกิดเร็วสุดประมาณวันที่ 3 ของไข้ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณวันที่ 3-5 ของไข้ หากมีการรั่วของน้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือดที่จะทำให้เกิดภาวะช็อก และหากเกิดภาวะช็อก อาจตามมาด้วยเลือดออกรุนแรง หรือตับวาย ไตวาย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้

ไข้เลือดออกรุนแรงชนิดที่มีน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไม่ได้เกิดจากตัวไวรัสโดยตรง เป็นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อไวรัส เพราะฉะนั้นโรครุนแรงจะเกิดขึ้นในคนไข้ที่ติดเชื้อซ้ำ ไม่ได้ป่วยเป็นไข้เลือดออกครั้งแรก สำหรับประเทศไทยมีไวรัสไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ เท่ากับว่าเรามีโอกาสติดเชื้อทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งแรกอาจไม่มีอาการหรืออาการน้อย แต่หากเป็นครั้งที่ 2, 3 หรือ 4 มีโอกาสที่จะมีเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายออกมา แล้วทำให้มีการรั่วของน้ำเหลืองออกไปนอกเส้นเลือดได้

ปัจจัยเสียงที่ทำให้น้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด คือ การติดเชื้อซ้ำ ถ้าในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กหรือทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าเด็กอื่นๆ

หัวหน้าศูนย์โรคไข้เลือดออก กล่าวอีกว่า การระบาดของโรคในแต่ละปีอาจไม่ระบาดพร้อมกันทั้ง 4 สายพันธุ์ หากติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่ในขณะเดียวกันช่วง 3-6 เดือนหลังจากการติดเชื้อนั้น อาจจะมีภูมิคุ้มกันที่สามารถกำจัดสายพันธุ์อื่นได้ชั่วคราว เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปจะไม่เป็นซ้ำในช่วงเวลา 3-6 เดือนจากที่เป็นครั้งแรก

ส่วนการรักษาไข้เลือดออก ไม่มียาต้านไวรัส แต่จะให้สารน้ำทดแทน นอกจากนี้ยังมีวัคซีนที่รับรองให้ใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยมีค่าใช้จ่าย และมีข้อจำกัดคือน่าจะได้ผลดีในคนไข้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรครุนแรงได้

หากเด็กป่วยเข้าข่ายเป็นไข้เลือดออก ห้ามกินยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ซึ่งเป็นยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เพราะมีความเสี่ยงทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและมีเลือดออก เนื่องจากคนไข้โรคไข้เลือดออกจะมีช่วงวิฤตของโรค เกร็ดเลือดต่ำ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หากช่วงนี้ได้รับยากลุ่มเอ็นเสดจะทำให้มีเลือดออกมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้

พญ.ประอร ย้ำว่า ไข้เลือดออกจากการติดเชื้อไวรัส จะมีอาการไข้สูงตั้งแต่ 2-7 วัน การกินยาลดไข้ไม่ได้ป้องกันไม่ให้ไข้ขึ้น แต่เป็นการบรรเทาอาการ ซึ่งยาลดไข้แก้ปวดที่ดีและปลอดภัยที่สุดไม่ว่าจะช่วงอายุไหนก็ตาม คือ ยาพาราเซตามอล แต่หากกินถี่มาก เช่น ทุก 4 ชั่วโมง อาจส่งผลต่อค่าตับได้

เฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือด

ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกครั้งใหญ่ทั่วโลก ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไข้เลือดออก 142,925 ราย ซึ่งมากกว่าปี 2557 ถึง 247% ส่วนปี 2559 มีผู้ติดเชื้อประมา ณ 5 หมื่นราย เสียชีวิต 57 ราย และจากสถิติของทวีปเอเชีย ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้เลือดออก เป็นอันดับที่ 2 รองจากฟิลิปปินส์ กลุ่มอายุที่เป็นไข้เลือดออกมากที่สุด คืออายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ 5-9 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ

เรียกได้ว่าโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง ถ้าหากมีผู้ป่วย 1,000 ราย จะเสียชีวิต 1 ราย จาก 2 สาเหตุ คือภาวะเลือดออกมาก และเลือดรั่วจากเส้นเลือดจนเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิต

ด้วยสภาพอากาศค่อนข้างร้อนชื้นอย่างประเทศไทย จะยิ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเดงกี บวกกับมีฝนตก ทำให้ลูกน้ำยุงลายมีปริมาณมาก และเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เมื่อมีฝนตกมากคนอยู่รวมกันหนาแน่น โอกาสที่จะแพร่ระบาดก็เพิ่มมากขึ้น ไวรัสเดงกี เป็นสาเหตุของไข้เลือดออก มี 4 สายพันธุ์ คือ เดงกี 1, 2, 3 และ 4

ประเทศไทยมีการระบาดของ 4 สายพันธุ์วนเวียนกันไปแล้วแต่พื้นที่ ไวรัสเดงกีมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะยุงตัวเมียซึ่งกัดเวลากลางวันและดูดเลือดคนเป็นอาหารเข้าสู่กระเพาะ สะสมในเซลล์ผนังกระเพาะจนเพิ่มจำนวนมากขึ้น เข้าสู่ต่อมน้ำลาย และเข้าในร่างกายคนที่ถูกกัดเป็นรายต่อไป เชื้อไวรัสเดงกีมีระยะฟักตัวในยุงประมาณ   8-12 วัน เมื่อยุงตัวนี้ไปกัดคนอื่นอีกก็จะปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคนและผ่านระยะฟักตัวนาน 5-8 วัน หรือสั้นที่สุด 3 วัน ยาวนานที่สุด 15 วัน ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้

อาการป่วยไข้เลือดออกครั้งแรกจะไม่ค่อยรุนแรงมาก แต่หากเป็นครั้งที่ 2 จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เลือดออก และช็อกได้ ส่วนการวินิจฉัยโรคในช่วงแรกจะแยกจากอาการไข้ทั่วไปค่อนข้างยาก ต้องตรวจจากการเจาะเลือด ซึ่งหากป่วยเพียง 1-2 วัน การเจาะเลือดอาจจะไม่พบเชื้อ ต้องใช้เวลา 3-4 วัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลด้วย

ที่มา

 

ติดตามอ่านข่าวต่างๆ ได้ที่  babe369.com

สนับสนุนโดย  ufabet369